ผลการดำเนินงานปี 2559 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,247 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนลดลง 262 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 17.37 เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังอยู่ในช่วงชะลอตัว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐสิ้นสุดลงเมื่อเดือนเมษายน 2559 กอปรกับการพิจารณาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารมีความเข้มงวดขึ้น ทำให้ส่งผลกระทบต่อยอดรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ลดลง 370 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 29.53 ส่วนรายได้จากการให้เช่า,รายได้ค่าบริการและรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 108 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 42.08 เกิดจากบริษัทฯ มีการปรับราคาค่าเช่าและค่าบริการตามสัญญา และรับโอนอาคารมาเป็นสินทรัพย์ตามสัญญาเช่าที่สิ้นสุดลง

ในปี 2559 บริษัทฯ มีต้นทุนและค่าใช้จ่ายรวมลดลง 245 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 18.58 เมื่อเทียบกับปีก่อน มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลง 224 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 26.16 ซึ่งเป็นการลดลงที่สอดคล้องกับรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลง ด้านต้นทุนให้เช่าและบริการเพิ่มขึ้น 13 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 7.61 จากการปรับปรุงพื้นที่เช่า ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 34 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11.85 เกิดจากค่าใช้จ่ายการขายและการตลาดที่ลดลง มีผลทำให้กำไรสุทธิของบริษัทฯในปี 2559 เท่ากับ 103 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนมีจำนวน 122 ล้านบาท หรือลดลง 19 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.48 โดยคิดเป็นอัตรากำไรต่อหุ้นในปี 2559 และปี 2558 ที่ 0.17 และ 0.21 บาทตามลำดับ

ในปี 2559 เมื่อเทียบกับปี 2558 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้น จำนวน 98.88 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.64 โดยในปี 2559 มีจำนวนสินทรัพย์รวม 3,848 ล้านบาท เทียบจากปีก่อนมีจำนวน 3,749 ล้านบาท มีสาเหตุจากที่สินทรัพย์หมุนเวียนบริษัทฯ มีต้นทุนการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นจาก 1,215 ล้านบาทในปี 2558 เป็น 2,116 ล้านบาทในปี 2559 เป็นผลจากการนำที่ดินรอการพัฒนาที่อยู่ในสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนในปี 2558 นำมาพัฒนาโครงการและเปิดขายในปลายปี 2559 ส่วนสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้น 750 ล้านบาทในปี 2558 เป็น 805 ล้านบาทในปี 2559 เนื่องจากบริษัทฯ รับโอนอาคารมาเป็นสินทรัพย์ตามสัญญาเช่า

บริษัทฯ มีหนี้สินรวมเพิ่มขึ้น 219 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.94 โดยในปี 2559 มีจำนวนหนี้สินรวม 1,593 ล้านบาท เทียบจากปีก่อนมีจำนวน 1,374 ล้านบาท มีสาเหตุจากหนี้สินหมุนเวียนของบริษัทฯ มีเงินเบิกเกินบัญชี และเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นจาก 2 ล้านบาทในปี 2558 เป็น 236 ล้านบาทในปี 2559 เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ทั้งนี้ บริษัทฯ ตระหนักดีถึงการบริหารเงินสดให้มีความสอดคล้องระหว่างรายได้และเงินกู้ระยะสั้น มีการดูแลการบริหารเงินสดอย่างรอบคอบ และได้จัดเตรียมวงเงินสำรองเพื่อใช้ในกิจการ อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ปี 2559 เท่ากับ 0.71 เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่มีอัตรา 0.58 และยังอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจและนโยบายของบริษัทฯ

ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง จำนวน 120 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5.06 จำนวน โดยในปี2559 มีส่วนของผู้ถือหุ้น 2,254 ล้านบาท เทียบจากปีก่อนมีจำนวน 2,375 ล้านบาท เกิดจากมีการจ่ายเงินปันผลและรับรู้ส่วนต่างการซื้อหุ้นสามัญของบริษัท เพียวสัมมากร ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด